เนเธอแลนด์: เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องทัศนคติเสรีนิยมในการจัดการกัญชา กัญชาเป็นที่ยอมรับได้แต่ไม่ถูกกฎหมายและสามารถใช้ในทางสันทนาการมาตั้งแต่ปี 1976 โดยร้าน Coffee shop สามารถขายกัญชาให้คนทั่วไปถึง 5 กรัมต่อวันแต่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบการอนุญาตอื่น ๆ เช่น ไม่สามารถเสิร์ฟแอลกอฮอล์ ห้ามโฆษณาร้านหรือยาเสพติด และไม่สามารถสต๊อกกัญชาในร้านเกิน 500 กรัม เป็นต้น
สหรัฐอเมริกา: ขณะนี้ประชาชนสามารถใช้กัญชาทางการแพทย์ได้ใน 35 รัฐ โดยใน 16 รัฐสามารถใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการได้อย่างถูกกฎหมาย รัฐโคโลราโดและวอชิงตันออกกฎหมายให้กัญชาถูกกฎหมายมาเกือบ 10 ปีแล้ว ปัจจุบันมีการศึกษาผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐจากอุตสาหกรรมกัญชาพบว่าในปี 2020 มีมูลค่าการขายกัญชาสูงถึง 17.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
อุรุกวัย: เป็นประเทศแรกที่รับรองการใช้กัญชาเพื่อสันทนาการตั้งแต่ปี 2013 โดยผู้ใช้ต้องลงทะเบียนเพื่อซื้อกัญชาผ่านหนึ่งในสามรูปแบบทางกฎหมายของการจัดหา เช่น การปลูกที่บ้าน ชมรมกัญชา หรือร้านขายยา และขณะนี้อุรุกวัยกำลังส่งเสริมประเทศให้เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการท่องเที่ยวกัญชาโดยมีเป้าหมายหลักให้นักท่องเที่ยวสามารถซื้อกัญชาจากตลาดที่มีการควบคุมจากรัฐ
จาไมกา: เป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมกัญชามาช้านานจากการเป็นถิ่นกำเนิดของแนวเพลงเร็กเก้และแนวความเชื่อแบบ Rastafarian ที่ถือว่ากัญชาเป็น “พืชแห่งปัญญา” และสามารถใช้ในการในการทำสมาธิเพื่อให้ใกล้ชิดกับจิตวิญญาณของตนเองมากขึ้น อย่างไรก็ตามการทำให้กัญชาถูกกฎหมายเพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อปี 2015 โดยประชาชนสามารถครอบครองกัญชาได้ตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด สามารถปลูกได้บ้านละ 5 ต้น
นอกจากนี้ในประเทศจอร์เจีย แอฟริกาใต้ ได้ออกกฎหมายใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการตั้งแต่ปี 2018 และเมื่อต้นปีประเทศเม็กซิโกอนุญาติให้ใช้กัญชาเพื่อการสันทนาการภายในบ้านเรือนได้
Source: DW News
